มีประโยชน์อย่างไร?
ใบอ่อนข้าวสาลี ทีอุดมไปด้วย คลอโรฟิลล์ถึงร้อยละ 70 แร่ธาติต่างๆ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โพแตสเซียม เหล็ก และโซเดียม เส้นใยอาหาร มีกรดอะมิโนมากกว่า 17 ชนิด และวิตามิน เช่น วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอีก อีกทั้งยังมีเอนไซม์ที่สำคัญได้แก่ Protease, Amylase และ Lipase เป็นต้น
***********************************
"คลอโรฟิลในต้นอ่อนข้าวสาลี เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยยับยั้งขบวนการเผาพลาญของเซลล์มะเร็ง"
จากคำกล่าวของ Dr. chui-nan lai, Ph.D., สาขาโรคมะเร็ง มหาวิทยาลัยเท็กซัส และแผนกชีววิทยาฮูสตัน เท็กซัส นักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมกันค้นคว้ากับ Dr.yashihide Hagiwara, M.D., ที่ญี่ปุ่น ผลการวิจับพบว่า เอนไซม์และกรดอะมิโนในต้นอ่อนข้าวสาลี ในขณะที่ยังเป็นต้นอ่อนนั้น มีสารแมงกานีส ที่ช่วยต่อต้านเซลล์มะเร็ง
มีการศึกษาวิจัยว่า ฤทธิ์การเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดแดงในผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจาง พบว่า การรับประทานน้ำต้นอ่อนข้าวสาลี วันละ 30-100 มล. หรือรับประทานสารสกัดจากต้นข้าวสาลีวันละ 1000 มก. ติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี จะช่วยเพิ่มปริมาณฮีโมโกลบินในเลือดอีกทั้งยังลดปริมาณการให้เม็ดเลือดแดงเข้มข้นและลดจำนวนครั้งในการถ่ายเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ
จากคำกล่าวของ Dr. chui-nan lai, Ph.D., สาขาโรคมะเร็ง มหาวิทยาลัยเท็กซัส และแผนกชีววิทยาฮูสตัน เท็กซัส นักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมกันค้นคว้ากับ Dr.yashihide Hagiwara, M.D., ที่ญี่ปุ่น ผลการวิจับพบว่า เอนไซม์และกรดอะมิโนในต้นอ่อนข้าวสาลี ในขณะที่ยังเป็นต้นอ่อนนั้น มีสารแมงกานีส ที่ช่วยต่อต้านเซลล์มะเร็ง
ประโยชน์อื่นๆ ของคลอโรฟิล
1. มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ในอาสาสมัครที่ได้รับ สารก่ออนุมูลอิสระ BPA (biphenol-A) ผ่านทางสิ่งแวดล้อม เมื่อได้ดื่มน้ำต้นอ่อนข้าวสาลีหรือวีทกราส วันละ 100 มล.ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ พบว่าปริมาณ BPA ในปัสสาวะลดลงช่วยทำให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่งดูอ่อนวัย
2. ช่วยบรรเทาอาการลำไส้อักเสบได้ดี เมื่อให้ผู้ป่วยรับประทานวันละ 100 มล. ติดต่อกัน 1 เดือน ช่วยบรรเทาอาการโดยรวมของโรคให้ดีขึ้นลดการเคลื่อนไหวของลำไส้และความถี่ของการถ่ายเป็นเลือด
3. ช่วยปรับสมดุลความเป็นกรด-ด่างของเลือด เนื่องจากแร่ธาตุที่มีความเป็นด่างจะช่วยลดความเป็นกรดที่มากเกินไปในเลือดทำให้เกิดความสมดุลขึ้น
4. ช่วยล้างสารพิษจากยาและสารเคมี ช่วยปรับให้สารพิษในร่างกายและยังช่วยทำความสะอาดตับ กำจัดโลหะหนัก เช่น แคดเมียม ปรอท และ สตรอนเตียม ออกจากร่างกาย
5. ช่วยบำรุงร่างกายและกระต้นระบบการสร้างภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น ช่วยรักษาภาวะสมดุลของน้ำตาลในกระแสเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน
6. ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย7. ช่วยการทำงานของตับ
8. ช่วยแก้ปัญหาน้ำตาลในกระแสเลือด
9. ฟื้นฟูเม็ดเลือดแดง
10. รักษาภาวะสมดุลของน้ำตาลในกระแสเลือดและรักษาโรคเบาหวาน
The History of wheat Grass Juice
"Wheat grass juice is perhaps the most powerful and safest healing aid there is. Not because it can attack and destroy bacteria or malignant cells, like some drugs, but because it has the ability to strengthen the whole body by bolstering its immune system!"
Wheat grass juice has been called the "King of the Juices" by Dr.James Balch. Wheat grass juice is the pure juice that is extracted form the wheat grass pulp that human bodies cannot digest.
In the 1950s, a lady named Ann Wigmore began to look at the healing properties of grasses. She remembered her mother using grasses to heal wounded soldiers in World War I. Wigmore contacted Dr. G.H. Earp-Thomas, an expert in grassed, plants and chlorophyll. Research and lab analysis showed wheat grass to be the most vital and possessing a number of elements beneficial to human health. Dr. Ann Wigmore founded the Hippocrates Health Institute in Bostion to further the work. In the 1970's Dr. Ann Wigmore had saved her own gangrenous legs form amputation by using her grass treatments and eventually ran in the Boston marathon. Drinking fresh wheat grass juice also alleviated chronic gastro-intestinal problems for her and as a bonus, left her more energetic than ever.